ภาพหลัก
ภาพทรงผนวช
ความสำคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
      พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นโบราณราชประเพณีที่ต้องทำเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ ดังความใน “จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ว่า
      “...ตามราชประเพณีในสยามประเทศนี้ ถือเปนตำราแต่โบราณว่า พระมหากระษัตริย์ซึ่งเสด็จผ่านพิภพต้องทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก่อน จึงจะเปนพระราชาธิบดีโดยสมบูรณ์ ถ้ายังมิได้ทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ ตราบใดถึงจะได้ทรงรับรัชทายาทเมื่อเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระราชวังหลวง ก็เสด็จอยู่เพียง ณ ที่พักแห่งหนึ่ง พระนามที่ขานก็คงใช้พระนามเดิม เปนแต่เพิ่มคำว่า “ซึ่งทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” เข้าข้างท้ายพระนาม แลคำรับสั่งก็ยังไม่ใช้พระราชโองการจนกว่าจะได้สรงมุรธาภิเษก ทรงรับพระสุพรรณบัฏจารึกพระบรมราชนามาภิธัยกับทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์จากพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ทำพิธีราชาภิเษกแล้วจึงเสด็จขึ้นเฉลิมพระราชมณเฑียร ครอบครองสิริราชสมบัติสมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศแห่งพระราชามหากระษัตริย์แต่นั้นไป...”

ความเป็นมาของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
      ความสําคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก ตั้งปรากฏหลักฐานการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นลําดับมา ลักษณะการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่เดิมมีขั้นตอนอย่างไรไม่ปรากฏแน่ชัด มีหลักฐานชัดเจนในแบบแผนตําราว่าด้วยการพระราชพิธีในสมัยอยุธยา และคงสูญไปเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า
      ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สอบค้นตําราว่าด้วยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เรียบเรียงไว้เป็นตําราเมื่อพุทธศักราช 2326 เรียกว่า “ตําราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยาสําหรับหอหลวง” ซึ่งได้นํามาเป็นแบบแผนการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อมา ที่สําคัญ อาทิ การทําน้ำอภิเษกโดยพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และตั้งพิธีเสกน้ำ ณ มหาเจดียสถานและพระอารามสําคัญ ตามที่กําหนด และเชิญเข้ามาตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกร(1) โดยจารึกพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ลงในแผ่นทอง พร้อมกับดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจํารัชกาลเชิญประดิษฐานบนธรรมาสน์ศิลาในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การแห่เชิญพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพและพระราชลัญจกร ด้วยขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปประดิษฐาน ณ พระแท่นมณฑล เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ประกาศการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พิธีสรงพระมุรธาภิเษก(2) พิธีถวายน้ำอภิเษกพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมขัตติยราชวราภรณ์ พระแสงราชศัสตราวุธ การเสด็จออกมหาสมาคม สถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พิธีประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร และสถาปนาฐานันดรศักดิ์พระราชวงศ์ เป็นต้น
      รายละเอียดพระราชพิธีและขั้นตอนต่าง ๆ อาจแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัยและแต่ละรัชกาลที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เพื่อความเหมาะสม เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2493 ในรัชกาลที่ 9 ทําพลีกรรมตักน้ำและเสกทําน้ำอภิเษก ณ มหาเจดียสถานและพระอารามต่าง ๆ ในราชอาณาจักร จํานวน 18 แห่ง ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทุกจังหวัดทําพิธีพลีกรรมตักน้ำและเสกทําน้ำอภิเษก เพื่อให้ทุกจังหวัดมีส่วนร่วมในพระราชพิธี ตลอดจนมีพระราชพิธีเสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนพยุหยาตรา(3) ทางชลมารค เป็นพระราชพิธีเบื้องปลาย เป็นต้น

การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
      พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 2 วรรคสอง ประกอบรัฐธรรมนญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ต่อมาทรงพระราชดําริว่าเป็นโอกาสอันควรแก่การประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณีเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลแก่ประเทศชาติและราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2562 โดยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 กําหนดเป็น 3 ช่วง ได้แก่

  • พระราชพิธีเบื้องต้นเป็นการเตรียมการพระราชพิธีก่อนเข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 6 - 23 เมษายน พุทธศักราช 2562 หมายกำหนดการคือ พิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ พิธีทําน้ำอภิเษก พิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำอภิเษก พิธีเชิญคนโทน้ำอภิเษกมายังกระทรวงมหาดไทย พิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ และอัญเชิญไปยังกระทรวงมหาดไทย ของกรุงเทพมหานคร พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ขบวนเชิญน้ำอภิเษกไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดารามการจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจํารัชกาล(1) และพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส สำหรับพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
          1) น้ำสรงมุรธาภิเษก(2) จำนวน 9 แหล่งน้ำ คือ น้ำจากสระน้ำ 4 สระได้แก่ สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกษ ในอําเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และน้ำจากแม่น้ำสําคัญ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง บริเวณบึงพระอาจารย์ อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แม่น้ำป่าสัก บริเวณบ้านท่าราบ หมู่ที่ 2 อําเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางแก้ว หน้าพระอุโบสถของวัดไชโย วรวิหาร จังหวัดอ่างทอง แม่น้ำราชบุรี บริเวณสามแยก คลองหน้าวัดดาวดึงษ์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม แม่น้ำเพชรบุรี บริเวณท่าน้าวัดท่าไชยศิริ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี
  • Image5 Image6
    Image5 Image6
          2) น้ำอภิเษก จำนวน 107 แหล่งน้ำในทุกจังหวัด 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวม 108 แห่ง
    Image5 Image6

  • พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 2-6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 หมายกำหนดการ คือ ทรงบวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชิญพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ พระราชลัญจกร ทรงนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระรัตนตรัย และถวายบังคมพระบรมอัฐิ พระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี(4) จุดเทียนชัย พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ประกาศการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สรงพระมุรธาภิเษก(2) ทรงรับน้ำอภิเษก ทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมขัตติยราชวราภรณ์ และพระแสงราชศัสตราวุธี ทรงสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกมหาสมาคม(5) รับการถวายพระพรชัยมงคล เสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปทรงนมัสการ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก(6)
          พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์ เสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร(7) โดยขบวนพยุหยาตรา(3) ทางสถลมารค เสด็จออกสีหบัญชรพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท(8) คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศ เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
  • พระราชพิธีเบื้องปลาย ในวันที่ 12 ธันวาคม พุทธศักราช 2562 หมายกำหนดการคือ เสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร(7) โดยขบวนพยุหยาตรา(3) ทางชลมารค เสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนราบ
  • Image3
          สำหรับขบวนพยุหยาตราเลียบพระนครทางชลมารคที่โปรดให้จัดขึ้นนี้ เป็นขบวนพยุหยาตราใหญ่ เสด็จพระราชดำเนินจากท่าวาสุกรี(9)ไปยังท่าราชวรดิฐ(10) เป็นขบวน 5 สาย สายกลางเป็นสายพระราชยานมีเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช(11) เชิญพระพุทธรูปสำคัญ(12) เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์(13)เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง(14) เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9(15)เป็นเรือพระที่นั่งรอง(16) รวมจำนวนเรือทั้งขบวน 52 ลำ
    เชิงอรรถ
    (1) การจารึกพระสุพรรณบัฏ
          พระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏแต่เดิมมาเป็นพระปรมาภิไธยที่มีความยาวหลายบรรทัดใช้คำศัพท์ภาษาบาลีและสันสกฤตที่ผูกขึ้นอย่างประณีตให้ได้เสียงที่ไพเราะและสื่อความถึงพระคุณวิเศษ และสายราชสกุลของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นพระปรมาภิไธยในพระสุพรรณบัฏของรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 เป็นอย่างเดียวกัน คือ ขึ้นต้นว่า “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และลงท้ายด้วย “บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว” ต่อมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เปลี่ยนเป็นขึ้นต้นด้วย “พระบาทสมเด็จพระปรมินทร” หรือ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร” ในสมัยรัชกาลที่ 9 พระปรมาภิไธยที่จารึกในพระสุพรรณบัฏปรากฏดังนี้ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”

    (2) พิธีสรงน้ำพระมุรธาภิเษก
          หมายถึง การยกให้ หรือการแต่งตั้งโดยการทำพิธีรดน้ำ ซึ่งตามคติความเชื่อของพราหมณ์ถือว่า การยกให้ผู้ใดเป็นใหญ่ทรงสิทธิ์อำนาจนั้น จะต้องทำด้วยพิธีรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ เบญจสุทธคงคา หมายถึงแม่น้ำ 5 สายสำคัญของไทย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำราชบุรี และแม่น้ำเพชรบุรี สระ 4 สระในจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ สระเกษ สระแก้ว สระคา และสระยมนา เป็นแหล่งน้ำที่ใช้สำหรับการสรงพระมุรธาภิเษกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

    (3) ขบวนพยุหยาตรา
          หรือที่โบราณเรียก พยุหบาตรา หมายถึง ขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ ที่ประกอบด้วยสรรพกำลังจำนวนมาก จัดเป็นรูปขวนอย่างมีแบบแผน เพื่อเสด็จพระราชดําเนินไปในการใดการหนึ่ง ในสมัยโบราณคงเป็นเรื่องของการพระราชสงคราม มีการจัดทัพเป็นขบวนเพื่อไปโจมตีข้าศึกที่ยกเข้ามารุกรานพระราชอาณาเขต ถ้าไปทางบกก็เรียก “พยุหยาตราทางสถลมารค” ซึ่งมีทั้งขบวนช้าง ขบวนม้า และขบวนเดินเท้า ถ้าไปทางน้ำก็เรียกว่า “พยุหยาตราทางชลมารค” การพระราชสงครามสมัยโบราณนั้นคงต้องมีทั้งขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค และพยุหยาตราทางชลมารค คงจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดมิได้ ที่สําคัญคือ เมื่อมีการผลัดแผ่นดิน มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นจะต้องเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ก็ต้องเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและทางชลมารคด้วย

    (4) ถวายราชสักการะพระบรมราชบุพการี
          ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์ที่ทรงรับบรมราชาภิเษกแล้วจะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะพระบรมอัฐิพระบรมราชบุพการี มีพระบรมอัฐิพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน ๆ เป็นอาทิ เพื่อทรงแสดงความเคารพและแสดงออกซึ่งพระกตัญญุตาคุณอีกครั้ง หลังจากได้ถวายราชสักการะก่อนเริ่มการพระราชพิธี ณ หอพระธาตุมณเฑียร ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เดิมในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้จัดพิธีนี้ขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ย้ายไปจัดในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 9 พระบรมอัฐิที่เชิญออกประดิษฐานเพื่อถวายราชสักการะ ได้แก่ พระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 พระบรมอัฐิและพระอัฐิพระอัครมเหสี และพระบรมราชินีบางรัชกาล พระบรมอัฐิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

    (5) เสด็จออกมหาสมาคม
          หมายถึงเสด็จออกที่ประชุมใหญ่ในพระราชพิธีสำคัญ พระมหากษัตริย์เสด็จออกมหาสมาคมในตอนบ่ายของวันที่ทรงรับพระบรมราชาภิเษก แต่เดิมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 อัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีกราบบังคมทูลถวายเมือง ไพร่พล และทรัพย์สิน ต่อมาในรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เป็นต้นว่า พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าทูลละอองธุลีพระบาทยืนถวายคำนับ ไม่ต้องนั่งถวายบังคมดังแต่ก่อน เสนาบดีที่ดำรงตำแหน่งมานานกว่าผู้อื่นกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และแสดงความจงรักภักดีในนามพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ไม่มีการกราบบังคมทูลถวายสรรพสมบัติ ในรัชกาลที่ 7 เปลี่ยนเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่เป็นผู้ถวายพระพรชัยมงคล ครั้นถึงรัชกาลที่ 9 นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคลในนามคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน และประธานรัฐสภาเป็นผู้กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคลในนามของประชาชน

    (6) ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก
          พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภกมาแต่อดีต ทรงผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ดังบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เรื่องนิราศท่าดินแดง ความตอนหนึ่งว่า “ตั้งใจจะอุประถัมภก ยอยกพระพุทธสาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสิมา รักษาประชาชนแลมนตรี” ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีการประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกด้วย การนี้เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระสังฆราชถวายศีล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสมาทานศีล แล้วมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกเป็นภาษามคธ คณะสงฆ์ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานเปล่งสังฆวาจารับว่า “สาธุ สาธุ สาธุ”

    (7) การเสด็จเลียบพระนคร
          คือการเสด็จพระราชดำเนินรอบพระนครภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมาคและทางชลมารค เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันถวายพระพรชัยมงคลและชื่นชมพระบารมีตามโบราณราชประเพณี ดังเช่น ในสมัย พระเพทราชา เสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารค ดังพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขามีข้อความว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเครื่องสิริราชวิภูษนาภรณ์แล้วเสร็จเสด็จทรงพระราชยาน... โดยกระบวนพยุหยาตราหน้าหลังพรั่งพร้อมเสร็จ ก็เสด็จประทักษิณเลียบพระนคร”

    (8) พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท
          รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นเป็นพลับพลาโถงจัตุรมุข หลังคาไม่มียอด สร้างด้วยเครื่องไม้เรียกกันว่า “พระที่นั่งพลับพลาสูง” สำหรับประทับทอดพระเนตรกระบวนแห่ในพระราชพิธีสรงสนานใหญ่ คือ พิธีสวนสนามของจตุรงคเสนา มีกระบวนคนเดินเท้า กระบวนช้าง กระบวนม้า และกระบวนรถรัชกาลที่ ๓ โปรดให้รื้อพระที่นั่งพลับพลาสูง สร้างใหม่เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูน พระราชทานนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ใน พ.ศ. 2396 รัชกาลที่ 4 โปรดให้เปลี่ยนนามเป็นพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 โปรดให้เป็นพลับพลาพระราชพิธี เช่น สวดมนต์เลี้ยงพระ และจุดโคมชัยบูชาพระบรมสารีริกธาตุในพระราชพิธีจองเปรียง จัดเป็นที่สำหรับพระสงฆ์รามัญสวดมนต์ฉลองไตรในการพระราชกุศลฉลองไตรปีเป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จออกให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

    (9) ท่าวาสุกรี
          ตามราชประเพณีที่มีมาแต่สมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์โปรดให้สร้างพระราชวังในบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ เพื่อประโยชน์ในการเดินทาง การศึกสงคราม และใช้แม่น้ำเป็นแนวป้องกันข้าศึก ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีท่าเทียบเรือพระที่นั่ง ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า “ท่าราชวรดิฐ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรปครั้งแรก โปรดให้สร้างพระราชวังดุสิตขึ้นที่ตำบลสามเสน เป็นพระราชฐานที่ประทับแห่งใหม่ และโปรดให้เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์เย็น อิศรเสนา) กำกับดูแลการสร้างตำหนักแพและสะพานท่าน้ำด้านใต้วัดราชาธิวาส พระราชทานนามว่า “ท่าวาสุกรี” เพื่อเป็นท่าเทียบเรือพระที่นั่งประจำพระราชวังดุสิต และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดท่าวาสุกรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม พุทธศักราช 2452 ปัจจุบันท่าวาสุกรี นอกจากใช้เทียบเรือพระที่นั่งแล้ว ยังเป็นที่ทรงลอยพระประทีป และทรงปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยโค ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันคล้ายวันประสูติของพระบรมวงศานุวงศ์

    (10) ท่าราชวรดิฐ
          เป็นท่าน้ำริมพระบรมมหาราชวังด้านฝั่งตะวันตก เป็นท่าสำหรับเทียบเรือพระที่นั่งเดิมเป็นตำหนักน้ำ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้รื้อตำหนักน้ำ แล้วปรับพื้นที่สร้างหมู่พระที่นั่งขึ้น 4 องค์ พระราชทานนามคล้องกันว่า พระที่นั่งชลังคพิมาน พระที่นั่งทิพยสถานเทพสถิต พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย และพระที่นั่งอนงค์ในสราญรมย์ แล้วพระราชทานนามพื้นที่ทั้งหมดว่า ราชวรดิษฐ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 พระที่นั่งหมู่นี้ชำรุดทรุดโทรมลงจึงโปรดให้รื้อออกเหลือเพียงพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัยซึ่งเป็นท้องพระโรงฝ่ายหน้าเพียงองค์เดียว ลักษณะเป็นพระที่นั่งโถง มุงกระเบื้องสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ในการเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนั้น พระมหากษัตริย์มักเสด็จพระราชดำเนินมาลงประทับเรือพระที่นั่งที่ท่าราชวรดิฐ ส่วนการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางชลมารคในรัชกาลปัจจุบันจะเสด็จพระราชดำเนินจากท่าวาสุกรีมาเสด็จขึ้นที่ท่าราชวรดิฐนี้

    (11) เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
          เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง โขนเรือเป็นรูปพญานาค 7 เศียร ปิดทองประดับกระจกพื้นเขียวท้องเรือภายในทาสีแดง สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 และได้ซ่อมแซมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
          อนันตนาคราชนั้นมีฤทธิ์มาก เคยประลองฤทธิ์กับพระพาย โดยอนันตนาคราชกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุไว้ ถ้าพระพายพัดเขาพระสุเมรุให้หักพังลงได้จะเป็นฝ่ายชนะ เมื่อพระพายกระหน่ำพัดเขาพระสุเมรุ อนันตนาคราชก็กลืนลมเสียสิ้น พระพายยิ่งพัดหนักขึ้น อนันตนาคราชก็เนรมิตกายให้ใหญ่ยาวยิ่งขึ้น พระพายจึงเก็บเอาลมซึ่งรักษาร่างกายเทวดา มนุษย์ และสัตว์ทั้งปวงมาเพื่อจะพัดทำลายเขาพระสุเมรุให้ได้ เทวดาตกใจชวนกันไปทูลพระอิศวรให้ช่วย พระอิศวรจึงตรัสว่าฤทธิ์ทั้ง 2 ฝ่ายเสมอกัน การประลองฤทธิ์จึงเป็นอันสิ้นสุดเพียงนั้น

    Image3
    (12) พระพุทธรูปสำคัญ
          พระพุทธรูปนำในขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค โปรดให้ตั้งบุษบกในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเพื่อเชิญผ้าไตรจากท่าวาสุกรีไปยังท่าวัดอรุณราชวราราม แต่ถ้าเป็นขบวนพยุหยาตราในโอกาสสำคัญ จะโปรดให้เชิญพระพุทธรูปสำคัญประดิษฐานในบุษบกเรือพระที่นั่งแทน เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี เมื่อพุทธศักราช 2525
          รัชกาลที่ 9 โปรดให้เชิญพระชัยหลังช้าง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 1 จากท่าวาสุกรีไปยังท่าราชวรดิฐแล้วเชิญไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ส่วนการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ในวันที่ 12 ธันวาคม โปรดให้เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 9 จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปประดิษฐานในบุษบกเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเข้าริ้วขบวนจากท่าวาสุกรีไปยังท่าราชวรดิฐ เพื่อให้พสกนิกรที่มารับเสด็จริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้สักการบูชา
    Image3
    (13) เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
          มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏในกาพย์เห่เรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ว่า

    “สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย          งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
    เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์         ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”

    “สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย
    งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
    เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์
    ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”


          เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์หรือเรือสุวรรณหงส์มีมาแต่ครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เรียกว่า “เรือไชยสุพรรณหงส์” ในรัชกาลที่ 2 สมัยรัตนโกสินทร์ มีเรือชื่อว่า “เรือศรีสุพรรณหงส์” และในจดหมายเหตุต่าง ๆ ครั้งรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ออกชื่อว่า “สุพรรณหงส์” ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกเป็น “ศรีสุพรรณหงส์” ก็มี “ไชยสุพรรณหงส์” ก็มี สมัยรัชกาลที่ 6 โปรดให้สร้างเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ขึ้นใหม่ใช้แทนลำเดิมที่ทรุดโทรมเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง สร้างด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก หัวเรือเป็นรูปศีรษะหงส์ มีพู่ขนจามรีห้อย ท้ายเรือเป็นรูปงอนช้อย ตัวเรือกว้าง ๓.๑๔ เมตร ยาว ๔๔.๙๐ เมตร กินน้ำลึก ๐.๔๑ เมตร ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย นายเรือ ๒ นาย พลธงท้าย ๑ นาย พลสัญญาณ ๑ นาย คนเห่ ๑ นาย

    (14) เรือพระที่นั่งลำทรง
          หรือพระที่นั่ง หมายถึง เรือที่นั่งซึ่งพระมหากษัตริย์ประทับในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นปรากฎหลักงานการสร้างเรือพระที่นั่งที่ใช้เป็นเรือพระที่นั่งลำทรงหลายลำ เช่น เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งศรีสมรรถไชย เรือพระที่นั่งไกรสรมุข เรือพระที่นั่งศรีประภัศรไชย เรือพระที่นั่งไกรแก้วจักรรัตน์ เรือพระที่นั่งไกสรจักร เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย เรือพระที่นั่งไกรสรมาศ ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เรือพระที่นั่งมงคลสุบรรณในรัชกาลที่ 3 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ในสมัยรัชกาลที่ 4 การเลือกเรือพระนั่งเป็นเรือพระที่นั่งลำทรงเป็นไปตามพระราชวินิจฉัย เช่นในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้ใช้เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง หรือบางครั้งโปรดให้ใช้เรือมงคลสุบรรณเป็นเรือพระที่นั่งลำทรง ในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9 โปรดให้ใช้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง
    Image3
    (15) เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ
          รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรือพระที่นั่งทอดบัลลังก์กัญญา เทียบเท่าเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ซึ่งเป็นเรือพระที่นั่งกิ่งสร้างขึ้นตามแบบเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณลำเดิม โขนเรือทำเป็นรูปพระนารายณ์ทรงยืนบนหลังเทพพาหนะ คือครุฑเช่นเดิม แต่เพิ่มส่วนสูงขึ้นอีกครึ่งเมตร และเปลี่ยนจำนวนฝีพายซึ่งลำเดิมใช้ 65 นาย เปลี่ยนเป็นฝีพาย 50 นาย เนื่องจากเรือลำนี้สร้างขึ้นในโอกาสที่รัฐบาลจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 50 ปีแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จัดเข้าขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
    Image3
    (16) เรือพระที่นั่งรอง
          หมายถึง เรือพระที่นั่งซึ่งเตรียมไว้สำรองแทนเรือพระที่นั่งลำทรงหากชำรุด ในการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคต้องจัดเรือพระที่นั่งรองเข้าไปในขบวนเสด็จด้วยโดยจัดไว้ในตำแหน่งเรือพระที่นั่งลำทรงเสมอ ปัจจุบันเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง ส่วนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นเรือพระที่นั่งรอง
    [1] คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กรมประชาสัมพันธ์. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 [อินเทอร์เน็ต]; [เข้าถึงเมื่อ 2567 มิ.ย. 26]. เข้าถึงได้จาก: http://phralan.in.th/Coronation/index.php
    [2] สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม, กองกลาง. สมุดภาพพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองกลาง กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรงวัฒนธรรม; 2562. 300 น.