
ความสำคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นโบราณราชประเพณีที่ต้องทำเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ ดังความใน “จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ว่า
“...ตามราชประเพณีในสยามประเทศนี้ ถือเปนตำราแต่โบราณว่า พระมหากระษัตริย์ซึ่งเสด็จผ่านพิภพต้องทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก่อน จึงจะเปนพระราชาธิบดีโดยสมบูรณ์ ถ้ายังมิได้ทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ ตราบใดถึงจะได้ทรงรับรัชทายาทเมื่อเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระราชวังหลวง ก็เสด็จอยู่เพียง ณ ที่พักแห่งหนึ่ง พระนามที่ขานก็คงใช้พระนามเดิม เปนแต่เพิ่มคำว่า “ซึ่งทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” เข้าข้างท้ายพระนาม แลคำรับสั่งก็ยังไม่ใช้พระราชโองการจนกว่าจะได้สรงมุรธาภิเษก ทรงรับพระสุพรรณบัฏจารึกพระบรมราชนามาภิธัยกับทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์จากพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ทำพิธีราชาภิเษกแล้วจึงเสด็จขึ้นเฉลิมพระราชมณเฑียร ครอบครองสิริราชสมบัติสมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศแห่งพระราชามหากระษัตริย์แต่นั้นไป...”
ความเป็นมาของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ความสําคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก ตั้งปรากฏหลักฐานการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นลําดับมา ลักษณะการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่เดิมมีขั้นตอนอย่างไรไม่ปรากฏแน่ชัด มีหลักฐานชัดเจนในแบบแผนตําราว่าด้วยการพระราชพิธีในสมัยอยุธยา และคงสูญไปเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สอบค้นตําราว่าด้วยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เรียบเรียงไว้เป็นตําราเมื่อพุทธศักราช 2326 เรียกว่า “ตําราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยาสําหรับหอหลวง” ซึ่งได้นํามาเป็นแบบแผนการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อมา ที่สําคัญ อาทิ การทําน้ำอภิเษกโดยพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และตั้งพิธีเสกน้ำ ณ มหาเจดียสถานและพระอารามสําคัญ ตามที่กําหนด และเชิญเข้ามาตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกร(1) โดยจารึกพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ลงในแผ่นทอง พร้อมกับดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจํารัชกาลเชิญประดิษฐานบนธรรมาสน์ศิลาในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การแห่เชิญพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพและพระราชลัญจกร ด้วยขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปประดิษฐาน ณ พระแท่นมณฑล เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ประกาศการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พิธีสรงพระมุรธาภิเษก(2) พิธีถวายน้ำอภิเษกพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมขัตติยราชวราภรณ์ พระแสงราชศัสตราวุธ การเสด็จออกมหาสมาคม สถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พิธีประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร และสถาปนาฐานันดรศักดิ์พระราชวงศ์ เป็นต้น
รายละเอียดพระราชพิธีและขั้นตอนต่าง ๆ อาจแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัยและแต่ละรัชกาลที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เพื่อความเหมาะสม เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2493 ในรัชกาลที่ 9 ทําพลีกรรมตักน้ำและเสกทําน้ำอภิเษก ณ มหาเจดียสถานและพระอารามต่าง ๆ ในราชอาณาจักร จํานวน 18 แห่ง ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทุกจังหวัดทําพิธีพลีกรรมตักน้ำและเสกทําน้ำอภิเษก เพื่อให้ทุกจังหวัดมีส่วนร่วมในพระราชพิธี ตลอดจนมีพระราชพิธีเสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนพยุหยาตรา(3) ทางชลมารค เป็นพระราชพิธีเบื้องปลาย เป็นต้น
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 2 วรรคสอง ประกอบรัฐธรรมนญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ต่อมาทรงพระราชดําริว่าเป็นโอกาสอันควรแก่การประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณีเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลแก่ประเทศชาติและราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2562 โดยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 กําหนดเป็น 3 ช่วง ได้แก่
พระราชพิธีเบื้องต้นเป็นการเตรียมการพระราชพิธีก่อนเข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 6 - 23 เมษายน พุทธศักราช 2562 หมายกำหนดการคือ พิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ พิธีทําน้ำอภิเษก พิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำอภิเษก พิธีเชิญคนโทน้ำอภิเษกมายังกระทรวงมหาดไทย พิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ และอัญเชิญไปยังกระทรวงมหาดไทย ของกรุงเทพมหานคร พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ขบวนเชิญน้ำอภิเษกไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดารามการจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจํารัชกาล(1) และพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส สำหรับพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1) น้ำสรงมุรธาภิเษก(2) จำนวน 9 แหล่งน้ำ คือ น้ำจากสระน้ำ 4 สระได้แก่ สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกษ ในอําเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และน้ำจากแม่น้ำสําคัญ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง บริเวณบึงพระอาจารย์ อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แม่น้ำป่าสัก บริเวณบ้านท่าราบ หมู่ที่ 2 อําเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางแก้ว หน้าพระอุโบสถของวัดไชโย วรวิหาร จังหวัดอ่างทอง แม่น้ำราชบุรี บริเวณสามแยก คลองหน้าวัดดาวดึงษ์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม แม่น้ำเพชรบุรี บริเวณท่าน้าวัดท่าไชยศิริ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นโบราณราชประเพณีที่ต้องทำเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ ดังความใน “จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ว่า
“...ตามราชประเพณีในสยามประเทศนี้ ถือเปนตำราแต่โบราณว่า พระมหากระษัตริย์ซึ่งเสด็จผ่านพิภพต้องทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก่อน จึงจะเปนพระราชาธิบดีโดยสมบูรณ์ ถ้ายังมิได้ทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ ตราบใดถึงจะได้ทรงรับรัชทายาทเมื่อเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระราชวังหลวง ก็เสด็จอยู่เพียง ณ ที่พักแห่งหนึ่ง พระนามที่ขานก็คงใช้พระนามเดิม เปนแต่เพิ่มคำว่า “ซึ่งทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” เข้าข้างท้ายพระนาม แลคำรับสั่งก็ยังไม่ใช้พระราชโองการจนกว่าจะได้สรงมุรธาภิเษก ทรงรับพระสุพรรณบัฏจารึกพระบรมราชนามาภิธัยกับทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์จากพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ทำพิธีราชาภิเษกแล้วจึงเสด็จขึ้นเฉลิมพระราชมณเฑียร ครอบครองสิริราชสมบัติสมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศแห่งพระราชามหากระษัตริย์แต่นั้นไป...”
ความเป็นมาของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ความสําคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก ตั้งปรากฏหลักฐานการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นลําดับมา ลักษณะการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่เดิมมีขั้นตอนอย่างไรไม่ปรากฏแน่ชัด มีหลักฐานชัดเจนในแบบแผนตําราว่าด้วยการพระราชพิธีในสมัยอยุธยา และคงสูญไปเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สอบค้นตําราว่าด้วยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เรียบเรียงไว้เป็นตําราเมื่อพุทธศักราช 2326 เรียกว่า “ตําราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยาสําหรับหอหลวง” ซึ่งได้นํามาเป็นแบบแผนการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อมา ที่สําคัญ อาทิ การทําน้ำอภิเษกโดยพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และตั้งพิธีเสกน้ำ ณ มหาเจดียสถานและพระอารามสําคัญ ตามที่กําหนด และเชิญเข้ามาตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกร(1) โดยจารึกพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ลงในแผ่นทอง พร้อมกับดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจํารัชกาลเชิญประดิษฐานบนธรรมาสน์ศิลาในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การแห่เชิญพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพและพระราชลัญจกร ด้วยขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปประดิษฐาน ณ พระแท่นมณฑล เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ประกาศการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พิธีสรงพระมุรธาภิเษก(2) พิธีถวายน้ำอภิเษกพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมขัตติยราชวราภรณ์ พระแสงราชศัสตราวุธ การเสด็จออกมหาสมาคม สถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พิธีประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร และสถาปนาฐานันดรศักดิ์พระราชวงศ์ เป็นต้น
รายละเอียดพระราชพิธีและขั้นตอนต่าง ๆ อาจแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัยและแต่ละรัชกาลที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เพื่อความเหมาะสม เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2493 ในรัชกาลที่ 9 ทําพลีกรรมตักน้ำและเสกทําน้ำอภิเษก ณ มหาเจดียสถานและพระอารามต่าง ๆ ในราชอาณาจักร จํานวน 18 แห่ง ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทุกจังหวัดทําพิธีพลีกรรมตักน้ำและเสกทําน้ำอภิเษก เพื่อให้ทุกจังหวัดมีส่วนร่วมในพระราชพิธี ตลอดจนมีพระราชพิธีเสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนพยุหยาตรา(3) ทางชลมารค เป็นพระราชพิธีเบื้องปลาย เป็นต้น
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 2 วรรคสอง ประกอบรัฐธรรมนญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ต่อมาทรงพระราชดําริว่าเป็นโอกาสอันควรแก่การประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณีเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลแก่ประเทศชาติและราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2562 โดยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 กําหนดเป็น 3 ช่วง ได้แก่
1) น้ำสรงมุรธาภิเษก(2) จำนวน 9 แหล่งน้ำ คือ น้ำจากสระน้ำ 4 สระได้แก่ สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกษ ในอําเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และน้ำจากแม่น้ำสําคัญ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง บริเวณบึงพระอาจารย์ อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แม่น้ำป่าสัก บริเวณบ้านท่าราบ หมู่ที่ 2 อําเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางแก้ว หน้าพระอุโบสถของวัดไชโย วรวิหาร จังหวัดอ่างทอง แม่น้ำราชบุรี บริเวณสามแยก คลองหน้าวัดดาวดึงษ์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม แม่น้ำเพชรบุรี บริเวณท่าน้าวัดท่าไชยศิริ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี




2) น้ำอภิเษก จำนวน 107 แหล่งน้ำในทุกจังหวัด 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวม 108 แห่ง


พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์ เสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร(7) โดยขบวนพยุหยาตรา(3) ทางสถลมารค เสด็จออกสีหบัญชรพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท(8) คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศ เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

สำหรับขบวนพยุหยาตราเลียบพระนครทางชลมารคที่โปรดให้จัดขึ้นนี้ เป็นขบวนพยุหยาตราใหญ่ เสด็จพระราชดำเนินจากท่าวาสุกรี(9)ไปยังท่าราชวรดิฐ(10) เป็นขบวน 5 สาย สายกลางเป็นสายพระราชยานมีเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช(11) เชิญพระพุทธรูปสำคัญ(12) เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์(13)เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง(14) เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9(15)เป็นเรือพระที่นั่งรอง(16) รวมจำนวนเรือทั้งขบวน 52 ลำ
เชิงอรรถ
(1) การจารึกพระสุพรรณบัฏ
พระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏแต่เดิมมาเป็นพระปรมาภิไธยที่มีความยาวหลายบรรทัดใช้คำศัพท์ภาษาบาลีและสันสกฤตที่ผูกขึ้นอย่างประณีตให้ได้เสียงที่ไพเราะและสื่อความถึงพระคุณวิเศษ และสายราชสกุลของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นพระปรมาภิไธยในพระสุพรรณบัฏของรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 เป็นอย่างเดียวกัน คือ ขึ้นต้นว่า “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และลงท้ายด้วย “บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว” ต่อมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เปลี่ยนเป็นขึ้นต้นด้วย “พระบาทสมเด็จพระปรมินทร” หรือ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร” ในสมัยรัชกาลที่ 9 พระปรมาภิไธยที่จารึกในพระสุพรรณบัฏปรากฏดังนี้ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”(2) พิธีสรงน้ำพระมุรธาภิเษก
หมายถึง การยกให้ หรือการแต่งตั้งโดยการทำพิธีรดน้ำ ซึ่งตามคติความเชื่อของพราหมณ์ถือว่า การยกให้ผู้ใดเป็นใหญ่ทรงสิทธิ์อำนาจนั้น จะต้องทำด้วยพิธีรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ เบญจสุทธคงคา หมายถึงแม่น้ำ 5 สายสำคัญของไทย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำราชบุรี และแม่น้ำเพชรบุรี สระ 4 สระในจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ สระเกษ สระแก้ว สระคา และสระยมนา เป็นแหล่งน้ำที่ใช้สำหรับการสรงพระมุรธาภิเษกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา(3) ขบวนพยุหยาตรา
หรือที่โบราณเรียก พยุหบาตรา หมายถึง ขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ ที่ประกอบด้วยสรรพกำลังจำนวนมาก จัดเป็นรูปขวนอย่างมีแบบแผน เพื่อเสด็จพระราชดําเนินไปในการใดการหนึ่ง ในสมัยโบราณคงเป็นเรื่องของการพระราชสงคราม มีการจัดทัพเป็นขบวนเพื่อไปโจมตีข้าศึกที่ยกเข้ามารุกรานพระราชอาณาเขต ถ้าไปทางบกก็เรียก “พยุหยาตราทางสถลมารค” ซึ่งมีทั้งขบวนช้าง ขบวนม้า และขบวนเดินเท้า ถ้าไปทางน้ำก็เรียกว่า “พยุหยาตราทางชลมารค” การพระราชสงครามสมัยโบราณนั้นคงต้องมีทั้งขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค และพยุหยาตราทางชลมารค คงจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดมิได้ ที่สําคัญคือ เมื่อมีการผลัดแผ่นดิน มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นจะต้องเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ก็ต้องเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและทางชลมารคด้วย(4) ถวายราชสักการะพระบรมราชบุพการี
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์ที่ทรงรับบรมราชาภิเษกแล้วจะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะพระบรมอัฐิพระบรมราชบุพการี มีพระบรมอัฐิพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน ๆ เป็นอาทิ เพื่อทรงแสดงความเคารพและแสดงออกซึ่งพระกตัญญุตาคุณอีกครั้ง หลังจากได้ถวายราชสักการะก่อนเริ่มการพระราชพิธี ณ หอพระธาตุมณเฑียร ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เดิมในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้จัดพิธีนี้ขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ย้ายไปจัดในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 9 พระบรมอัฐิที่เชิญออกประดิษฐานเพื่อถวายราชสักการะ ได้แก่ พระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 พระบรมอัฐิและพระอัฐิพระอัครมเหสี และพระบรมราชินีบางรัชกาล พระบรมอัฐิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก(5) เสด็จออกมหาสมาคม
หมายถึงเสด็จออกที่ประชุมใหญ่ในพระราชพิธีสำคัญ พระมหากษัตริย์เสด็จออกมหาสมาคมในตอนบ่ายของวันที่ทรงรับพระบรมราชาภิเษก แต่เดิมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 อัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีกราบบังคมทูลถวายเมือง ไพร่พล และทรัพย์สิน ต่อมาในรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เป็นต้นว่า พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าทูลละอองธุลีพระบาทยืนถวายคำนับ ไม่ต้องนั่งถวายบังคมดังแต่ก่อน เสนาบดีที่ดำรงตำแหน่งมานานกว่าผู้อื่นกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และแสดงความจงรักภักดีในนามพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ไม่มีการกราบบังคมทูลถวายสรรพสมบัติ ในรัชกาลที่ 7 เปลี่ยนเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่เป็นผู้ถวายพระพรชัยมงคล ครั้นถึงรัชกาลที่ 9 นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคลในนามคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน และประธานรัฐสภาเป็นผู้กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคลในนามของประชาชน(6) ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภกมาแต่อดีต ทรงผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ดังบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เรื่องนิราศท่าดินแดง ความตอนหนึ่งว่า “ตั้งใจจะอุประถัมภก ยอยกพระพุทธสาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสิมา รักษาประชาชนแลมนตรี” ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีการประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกด้วย การนี้เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระสังฆราชถวายศีล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสมาทานศีล แล้วมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกเป็นภาษามคธ คณะสงฆ์ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานเปล่งสังฆวาจารับว่า “สาธุ สาธุ สาธุ”(7) การเสด็จเลียบพระนคร
คือการเสด็จพระราชดำเนินรอบพระนครภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมาคและทางชลมารค เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันถวายพระพรชัยมงคลและชื่นชมพระบารมีตามโบราณราชประเพณี ดังเช่น ในสมัย พระเพทราชา เสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารค ดังพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขามีข้อความว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเครื่องสิริราชวิภูษนาภรณ์แล้วเสร็จเสด็จทรงพระราชยาน... โดยกระบวนพยุหยาตราหน้าหลังพรั่งพร้อมเสร็จ ก็เสด็จประทักษิณเลียบพระนคร”(8) พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท
รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นเป็นพลับพลาโถงจัตุรมุข หลังคาไม่มียอด สร้างด้วยเครื่องไม้เรียกกันว่า “พระที่นั่งพลับพลาสูง” สำหรับประทับทอดพระเนตรกระบวนแห่ในพระราชพิธีสรงสนานใหญ่ คือ พิธีสวนสนามของจตุรงคเสนา มีกระบวนคนเดินเท้า กระบวนช้าง กระบวนม้า และกระบวนรถรัชกาลที่ ๓ โปรดให้รื้อพระที่นั่งพลับพลาสูง สร้างใหม่เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูน พระราชทานนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ใน พ.ศ. 2396 รัชกาลที่ 4 โปรดให้เปลี่ยนนามเป็นพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 โปรดให้เป็นพลับพลาพระราชพิธี เช่น สวดมนต์เลี้ยงพระ และจุดโคมชัยบูชาพระบรมสารีริกธาตุในพระราชพิธีจองเปรียง จัดเป็นที่สำหรับพระสงฆ์รามัญสวดมนต์ฉลองไตรในการพระราชกุศลฉลองไตรปีเป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จออกให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (9) ท่าวาสุกรี
ตามราชประเพณีที่มีมาแต่สมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์โปรดให้สร้างพระราชวังในบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ เพื่อประโยชน์ในการเดินทาง การศึกสงคราม และใช้แม่น้ำเป็นแนวป้องกันข้าศึก ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีท่าเทียบเรือพระที่นั่ง ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า “ท่าราชวรดิฐ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรปครั้งแรก โปรดให้สร้างพระราชวังดุสิตขึ้นที่ตำบลสามเสน เป็นพระราชฐานที่ประทับแห่งใหม่ และโปรดให้เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์เย็น อิศรเสนา) กำกับดูแลการสร้างตำหนักแพและสะพานท่าน้ำด้านใต้วัดราชาธิวาส พระราชทานนามว่า “ท่าวาสุกรี” เพื่อเป็นท่าเทียบเรือพระที่นั่งประจำพระราชวังดุสิต และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดท่าวาสุกรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม พุทธศักราช 2452 ปัจจุบันท่าวาสุกรี นอกจากใช้เทียบเรือพระที่นั่งแล้ว ยังเป็นที่ทรงลอยพระประทีป และทรงปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยโค ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันคล้ายวันประสูติของพระบรมวงศานุวงศ์(10) ท่าราชวรดิฐ
เป็นท่าน้ำริมพระบรมมหาราชวังด้านฝั่งตะวันตก เป็นท่าสำหรับเทียบเรือพระที่นั่งเดิมเป็นตำหนักน้ำ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้รื้อตำหนักน้ำ แล้วปรับพื้นที่สร้างหมู่พระที่นั่งขึ้น 4 องค์ พระราชทานนามคล้องกันว่า พระที่นั่งชลังคพิมาน พระที่นั่งทิพยสถานเทพสถิต พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย และพระที่นั่งอนงค์ในสราญรมย์ แล้วพระราชทานนามพื้นที่ทั้งหมดว่า ราชวรดิษฐ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 พระที่นั่งหมู่นี้ชำรุดทรุดโทรมลงจึงโปรดให้รื้อออกเหลือเพียงพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัยซึ่งเป็นท้องพระโรงฝ่ายหน้าเพียงองค์เดียว ลักษณะเป็นพระที่นั่งโถง มุงกระเบื้องสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ในการเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนั้น พระมหากษัตริย์มักเสด็จพระราชดำเนินมาลงประทับเรือพระที่นั่งที่ท่าราชวรดิฐ ส่วนการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางชลมารคในรัชกาลปัจจุบันจะเสด็จพระราชดำเนินจากท่าวาสุกรีมาเสด็จขึ้นที่ท่าราชวรดิฐนี้(11) เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง โขนเรือเป็นรูปพญานาค 7 เศียร ปิดทองประดับกระจกพื้นเขียวท้องเรือภายในทาสีแดง สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 และได้ซ่อมแซมใช้อยู่จนถึงปัจจุบันอนันตนาคราชนั้นมีฤทธิ์มาก เคยประลองฤทธิ์กับพระพาย โดยอนันตนาคราชกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุไว้ ถ้าพระพายพัดเขาพระสุเมรุให้หักพังลงได้จะเป็นฝ่ายชนะ เมื่อพระพายกระหน่ำพัดเขาพระสุเมรุ อนันตนาคราชก็กลืนลมเสียสิ้น พระพายยิ่งพัดหนักขึ้น อนันตนาคราชก็เนรมิตกายให้ใหญ่ยาวยิ่งขึ้น พระพายจึงเก็บเอาลมซึ่งรักษาร่างกายเทวดา มนุษย์ และสัตว์ทั้งปวงมาเพื่อจะพัดทำลายเขาพระสุเมรุให้ได้ เทวดาตกใจชวนกันไปทูลพระอิศวรให้ช่วย พระอิศวรจึงตรัสว่าฤทธิ์ทั้ง 2 ฝ่ายเสมอกัน การประลองฤทธิ์จึงเป็นอันสิ้นสุดเพียงนั้น

(12) พระพุทธรูปสำคัญ
พระพุทธรูปนำในขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค โปรดให้ตั้งบุษบกในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเพื่อเชิญผ้าไตรจากท่าวาสุกรีไปยังท่าวัดอรุณราชวราราม แต่ถ้าเป็นขบวนพยุหยาตราในโอกาสสำคัญ จะโปรดให้เชิญพระพุทธรูปสำคัญประดิษฐานในบุษบกเรือพระที่นั่งแทน เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี เมื่อพุทธศักราช 2525 รัชกาลที่ 9 โปรดให้เชิญพระชัยหลังช้าง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 1 จากท่าวาสุกรีไปยังท่าราชวรดิฐแล้วเชิญไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ส่วนการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ในวันที่ 12 ธันวาคม โปรดให้เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 9 จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปประดิษฐานในบุษบกเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเข้าริ้วขบวนจากท่าวาสุกรีไปยังท่าราชวรดิฐ เพื่อให้พสกนิกรที่มารับเสด็จริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้สักการบูชา

(13) เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏในกาพย์เห่เรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ว่า
“สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”
“สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย
งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์
ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”
งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์
ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์หรือเรือสุวรรณหงส์มีมาแต่ครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เรียกว่า “เรือไชยสุพรรณหงส์” ในรัชกาลที่ 2 สมัยรัตนโกสินทร์ มีเรือชื่อว่า “เรือศรีสุพรรณหงส์” และในจดหมายเหตุต่าง ๆ ครั้งรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ออกชื่อว่า “สุพรรณหงส์” ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกเป็น “ศรีสุพรรณหงส์” ก็มี “ไชยสุพรรณหงส์” ก็มี สมัยรัชกาลที่ 6 โปรดให้สร้างเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ขึ้นใหม่ใช้แทนลำเดิมที่ทรุดโทรมเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง สร้างด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก หัวเรือเป็นรูปศีรษะหงส์ มีพู่ขนจามรีห้อย ท้ายเรือเป็นรูปงอนช้อย ตัวเรือกว้าง ๓.๑๔ เมตร ยาว ๔๔.๙๐ เมตร กินน้ำลึก ๐.๔๑ เมตร ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย นายเรือ ๒ นาย พลธงท้าย ๑ นาย พลสัญญาณ ๑ นาย คนเห่ ๑ นาย
(14) เรือพระที่นั่งลำทรง
หรือพระที่นั่ง หมายถึง เรือที่นั่งซึ่งพระมหากษัตริย์ประทับในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นปรากฎหลักงานการสร้างเรือพระที่นั่งที่ใช้เป็นเรือพระที่นั่งลำทรงหลายลำ เช่น เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งศรีสมรรถไชย เรือพระที่นั่งไกรสรมุข เรือพระที่นั่งศรีประภัศรไชย เรือพระที่นั่งไกรแก้วจักรรัตน์ เรือพระที่นั่งไกสรจักร เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย เรือพระที่นั่งไกรสรมาศ ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เรือพระที่นั่งมงคลสุบรรณในรัชกาลที่ 3 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ในสมัยรัชกาลที่ 4 การเลือกเรือพระนั่งเป็นเรือพระที่นั่งลำทรงเป็นไปตามพระราชวินิจฉัย เช่นในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้ใช้เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง หรือบางครั้งโปรดให้ใช้เรือมงคลสุบรรณเป็นเรือพระที่นั่งลำทรง ในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9 โปรดให้ใช้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง
(15) เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ
รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรือพระที่นั่งทอดบัลลังก์กัญญา เทียบเท่าเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ซึ่งเป็นเรือพระที่นั่งกิ่งสร้างขึ้นตามแบบเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณลำเดิม โขนเรือทำเป็นรูปพระนารายณ์ทรงยืนบนหลังเทพพาหนะ คือครุฑเช่นเดิม แต่เพิ่มส่วนสูงขึ้นอีกครึ่งเมตร และเปลี่ยนจำนวนฝีพายซึ่งลำเดิมใช้ 65 นาย เปลี่ยนเป็นฝีพาย 50 นาย เนื่องจากเรือลำนี้สร้างขึ้นในโอกาสที่รัฐบาลจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 50 ปีแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จัดเข้าขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
(16) เรือพระที่นั่งรอง
หมายถึง เรือพระที่นั่งซึ่งเตรียมไว้สำรองแทนเรือพระที่นั่งลำทรงหากชำรุด ในการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคต้องจัดเรือพระที่นั่งรองเข้าไปในขบวนเสด็จด้วยโดยจัดไว้ในตำแหน่งเรือพระที่นั่งลำทรงเสมอ ปัจจุบันเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งลำทรง ส่วนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นเรือพระที่นั่งรอง
[1] คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กรมประชาสัมพันธ์. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 [อินเทอร์เน็ต]; [เข้าถึงเมื่อ 2567 มิ.ย. 26]. เข้าถึงได้จาก: http://phralan.in.th/Coronation/index.php
[2] สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม, กองกลาง. สมุดภาพพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองกลาง กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรงวัฒนธรรม; 2562. 300 น.
[2] สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม, กองกลาง. สมุดภาพพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองกลาง กลุ่มพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรงวัฒนธรรม; 2562. 300 น.